Research Blog
งานวิจัย
Beauty Blog
ความงาม
Business Icon
ธุรกิจ
SB Interlab News
ข่าวสารเอสบี

เซราไมด์: เคล็ดลับการดูแลผิวแพ้ที่คุณไม่เคยรู้

October 7, 2024
Reading Count
Table of Contents

เซราไมด์: เคล็ดลับการดูแลผิวแพ้ที่คุณไม่เคยรู้

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นภาวะผิวหนังที่พบได้บ่อย มีลักษณะเฉพาะคือการอักเสบ, แดง และอาการคัน ซึ่งพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุหลักมักเกิดจากความบกพร่องของเกราะป้องกันผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียไขมันระหว่างเซลล์ (Intercellular Lipids) ในชั้นผิวหนัง เซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ มีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันการซึมผ่านของสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการใช้เซราไมด์ร่วมกับครีมสเตียรอยด์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาอาการผื่นภูมิแพ้ได้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเกี่ยวกับสกินแคร์ที่มีเซราไมด์และผลกระทบต่อการรักษาและระยะเวลาของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ผิวหนังอักเสบและเกราะป้องกันผิว: เซราไมด์ช่วยได้อย่างไร

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า "Atopic Dermatitis" เป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของเกราะป้องกันผิว ซึ่งทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น และมีความไวต่อสิ่งแปลกปลอมมากขึ้น อาการส่วนใหญ่ได้แก่ ผิวแห้ง, คัน และมีลักษณะผิวลอก การเลือกสกินแคร์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้สบู่แรงเกินไปหรือการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีแนวคิดใหม่ในการบำรุงผิวโดยใช้เซราไมด์ ซึ่งเป็นไขมันตามธรรมชาติในชั้นผิวที่ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำ การขาดเซราไมด์ในผิวหนังจะทำให้ผิวแห้งและไวต่อการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น การเติมเซราไมด์ลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีจุดประสงค์เพื่อช่วยฟื้นฟูระดับเซราไมด์ในผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เซราไมด์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรคผิวหนังอักเสบ

จุดมุ่งหมายหลักของการศึกษานี้คือการประเมินผลของการใช้สกินแคร์บำรุงผิวที่มีเซราไมด์ร่วมกับการรักษาด้วยครีมสเตียรอยด์ เพื่อดูว่าสามารถลดระยะเวลาของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและช่วยให้อาการทุเลาลงได้ดีกว่าการใช้ครีมสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียวหรือไม่ โดยแบ่งกลุ่มการรักษาออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้:

● กลุ่ม 1: ใช้สบู่บาร์ที่อ่อนโยนร่วมกับครีมฟลูโอซิโนไนด์ 0.05% (สเตียรอยด์ที่มีความแรงสูง)

● กลุ่ม 2: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวชนิดน้ำที่มีเซราไมด์ร่วมกับครีมฟลูโอซิโนไนด์ 0.05%

● กลุ่ม 3: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวชนิดน้ำที่มีเซราไมด์และครีมบำรุงผิวที่มีเซราไมด์ร่วมกับครีมฟลูโอซิโนไนด์ 0.05%

วิธีการศึกษา: ทดสอบประสิทธิภาพของเซราไมด์ในการดูแลผิวหนังอักเสบ

การศึกษานี้มีระยะเวลาทั้งหมด 4 สัปดาห์ โดยมีผู้เข้าร่วมการศึกษา 60 คน อายุระหว่าง 5-80 ปี ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ที่มีอาการโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ผู้เข้าร่วมทั้งหมดต้องหยุดการรักษาผิวหนังใดๆ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนเข้าร่วมการศึกษา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลจากการรักษาเดิมต่อผลการศึกษา

● กลุ่มการรักษาและสกินแคร์ที่ใช้: ผู้เข้าร่วมถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามวิธีการรักษาที่กล่าวถึงข้างต้น

● เกณฑ์การประเมิน: อาการทางผิวหนัง เช่น อาการแดง (Erythema), ผิวลอก (Desquamation), ผิวหนา (Lichenification), และอาการคัน ถูกประเมินโดยใช้มาตราส่วน 5 จุด (0 = ไม่มี, 1 = เล็กน้อย, 2 = ปานกลาง, 3 = มาก, 4 = รุนแรง)

● การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์: การประเมินสภาพผิวดำเนินการโดยนักวิจัยผู้ไม่ทราบวิธีการรักษาของกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันความลำเอียง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบสถิติแบบ Kruskal-Wallis และการเปรียบเทียบคู่โดยใช้ Mann-Whitney test

ผลการศึกษา

● การหายของโรคดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์

ผลการศึกษาพบว่าการใช้สกินแคร์ที่มีเซราไมด์ร่วมกับครีมสเตียรอยด์ช่วยลดระยะเวลาการหายของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยในสัปดาห์ที่ 4 สัดส่วนของผู้ป่วยที่หายจากอาการผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในแต่ละกลุ่มคือ:

● 15% ในกลุ่ม 1 (สบู่บาร์ + ครีมสเตียรอยด์)

● 37% ในกลุ่ม 2 (สกินแคร์ทำความสะอาดผิวที่มีเซราไมด์ + ครีมสเตียรอยด์)

● 76% ในกลุ่ม 3 (สกินแคร์ทำความสะอาดผิวที่มีเซราไมด์และครีมบำรุงผิว + ครีมสเตียรอยด์)

การเพิ่มครีมบำรุงผิวที่มีเซราไมด์ (กลุ่ม 3) ทำให้อัตราการหายดีขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้สกินแคร์ที่ทำความสะอาดเพียงอย่างเดียว (กลุ่ม 2) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ทั้งสกินแคร์ทำความสะอาดและครีมบำรุงที่มีเซราไมด์ในผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้

การลดอาการทางผิวหนัง

การลดอาการทางผิวหนัง

กลุ่มที่ใช้สกินแคร์ที่มีเซราไมด์ (กลุ่ม 2 และ 3) มีการลดอาการทางผิวหนัง เช่น อาการแดงและผิวลอก ได้รวดเร็วและดีกว่ากลุ่มที่ใช้สบู่บาร์ (กลุ่ม 1) อย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่ม 3 มีการฟื้นฟูอาการได้เร็วที่สุด

●  ระยะเวลาการหายของอาการ

ระยะเวลาเฉลี่ยในการหายของโรคในแต่ละกลุ่มคือ:

● 3.7 สัปดาห์ สำหรับกลุ่ม 1,

● 3.4 สัปดาห์ สำหรับกลุ่ม 2,

● 3.0 สัปดาห์** สำหรับกลุ่ม 3.

ข้อสรุป – บทบาทของเซราไมด์ในการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ร่วมกับการรักษาด้วยครีมสเตียรอยด์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการเติมเซราไมด์จะช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวหนัง ทำให้การรักษาอาการและการหายของโรคเร็วขึ้น ดังนั้นแพทย์ผิวหนังควรพิจารณาแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ โดยเฉพาะการใช้ร่วมกับครีมสเตียรอยด์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

References

●  Imokawa G, Akasaki S, Hattori M, et al. Selective recovery of deranged water-holding properties by stratum corneum lipids. J Invest Dermatol. 1986;87:758-761.

●  De Paepe K, Roseeuw D, Rogiers V. Repair of acetone- and sodium lauryl sulphate-damaged human skin barrier function using topically applied emulsions containing barrier lipids. J Eur Acad Dermatol Venereol.16:587-594.

● Espinoza R, inventor; HealthPoint, Ltd, assignee. Multivesicular emulsion drug delivery systems. US patent 6,709,663.

●  Gehring W, Wenz J, Gloor M. Influence of topically applied ceramide/phospholipid mixture on the barrier function of intact skin, atopic skin and experimentally induced barrier damage. Int J Cosmet Sci. 1997;19:143-156.

●  Yang L, Mao-Qiang M, Taljebini M, et al. Topical stratum corneum lipids accelerate barrier repair after tape stripping, solvent treatment and some but not all types of detergent treatment. Br J Dermatol. 1995;133:679-685.

●  Zettersten EM, Ghadially R, Feingold KR, et al. Optimal ratios of topical stratum corneum lipids improve barrier recovery in chronologically aged skin. J Am Acad Dermatol. 1997;37(3, pt 1):403-408.

Recommended Products

Related Knowledges