ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้รับความนิยมอย่างมากในทุกกลุ่มอายุ ส่งผลให้เกิดตลาดมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ทั่วโลก ภูมิทัศน์ของวงการสกินแคร์ได้พัฒนาจากเครื่องสำอางธรรมดาที่มุ่งเน้นการเสริมความงามภายนอก มาเป็นสูตรที่ส่งเสริมสุขภาพผิวและการปกป้องผิวในระยะยาว แม้จะมีการใช้งานที่เพิ่มขึ้น แต่การควบคุมและมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงเป็นที่น่ากังวล เนื่องจากผลิตภัณฑ์หลายชนิดไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงด้านพิษวิทยาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การปนเปื้อนของโลหะหนัก
บทความนี้จะลงลึกถึงการวิเคราะห์สูตรผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 5 ประเภทจาก 5 แบรนด์ โดยเน้นที่คุณลักษณะต่างๆ เช่น ปริมาณสารโพลิฟีนอล ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และการปนเปื้อนโลหะหนัก ผลลัพธ์ที่ได้จะให้ข้อมูลเชิงลึกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวระดับไฮเอนด์และโลว์เอนด์เปรียบเทียบกันอย่างไรในแง่ของความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
● การวิเคราะห์ราคาและปริมาณสารแห้ง
มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบตัวอย่าง 25 ชิ้นจาก 5 แบรนด์ ครอบคลุมสูตรต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โทนเนอร์ มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดด และครีมบำรุงรอบดวงตา ราคามีความแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ 0.02 ถึง 1.81 ยูโร/มิลลิลิตร โดยผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์มักมีราคาสูงกว่าโลว์เอนด์ มอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดมีปริมาณสารแห้งสูงกว่าเนื่องจากมีความหนืด ในขณะที่โทนเนอร์มีความเข้มข้นน้อยที่สุดเนื่องจากมีลักษณะเป็นของเหลว
● การวิเคราะห์สีของสูตรต่างๆ
การศึกษาใช้พารามิเตอร์การวัดสี CIELAB เพื่อจำแนกสูตรต่างๆ ตามค่าความสว่าง ความแดง และความเหลือง สังเกตได้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและโทนเนอร์มักไม่มีสี ในขณะที่มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดด และครีมบำรุงรอบดวงตาส่วนใหญ่มีสีขาว โดยมีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น ครีมบำรุงรอบดวงตาสีชมพู น่าสนใจที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไฮเอนด์ชนิดหนึ่งมีสี "Ship Cove Blue" ที่โดดเด่นเนื่องจากมีค่าความอิ่มตัวของสีสูง ซึ่งบ่งชี้ถึงการใช้รงควัตถุเฉพาะ
● ทำความเข้าใจสารประกอบโพลิฟีนอล
โพลิฟีนอลเป็นสารที่ได้จากพืช ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านจุลชีพ และชะลอวัย มักเติมลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อต่อสู้กับอนุมูลอิสระและปกป้องผิว ในการศึกษานี้ พบว่าปริมาณโพลิฟีนอลอยู่ในช่วง 0.008 ถึง 0.542% โดยน้ำหนัก โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและโทนเนอร์มีปริมาณต่ำสุด และครีมกันแดดมีปริมาณสูงสุด ความแตกต่างนี้บ่งชี้ว่าสูตรที่ใช้ทาทิ้งไว้บนผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์และครีมบำรุงรอบดวงตา มีแนวโน้มที่จะมีโพลิฟีนอลที่มีประโยชน์มากกว่า
● การประเมินฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งวัดด้วยวิธี DPPH แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แตกต่างกันในสูตรต่างๆ โดยมีค่าตั้งแต่ 15.76 ถึง 55.58 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร แม้ว่าสูตรส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ากรดแอสคอร์บิก แต่พบว่าการมีโพลิฟีนอลเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระที่สูง สิ่งนี้บ่งชี้ว่าส่วนผสมอื่นๆ เช่น วิตามินและสารคงตัวสังเคราะห์ อาจมีส่วนช่วยในความสามารถต้านอนุมูลอิสระโดยรวม
● ภาพรวมของโลหะหนักในเครื่องสำอาง
มีการวิเคราะห์โลหะหนัก ได้แก่ โครเมียม (Cr) ทองแดง (Cu) เหล็ก (Fe) นิกเกิล (Ni) ตะกั่ว (Pb) และสังกะสี (Zn) เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านพิษวิทยาที่อาจเกิดขึ้น การปนเปื้อนโลหะหนักในเครื่องสำอางอาจเกิดจากวัตถุดิบหรือกระบวนการผลิต และการสัมผัสในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างรุนแรง การศึกษาพบว่าแม้ทุกสูตรจะไม่มีแคดเมียม (Cd) และโคบอลต์ (Co) แต่พบโลหะอื่นๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน
● ปริมาณโครเมียมและทองแดง
โครเมียมมักใช้เพื่อให้สีเขียวแก่เครื่องสำอาง และอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในผู้ที่มีความไวต่อสาร ความเข้มข้นในผลิตภัณฑ์ที่วิเคราะห์อยู่ในช่วง 0.13 ถึง 1.61 ส่วนในล้านส่วน โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีระดับสูงสุด ทองแดง ซึ่งจำเป็นในปริมาณเล็กน้อย พบในความเข้มข้นตั้งแต่ 0.11 ถึง 0.96 ส่วนในล้านส่วน โดยมีการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไฮเอนด์บางชนิด
● การวิเคราะห์เหล็ก นิกเกิล และตะกั่ว
เหล็ก ซึ่งใช้เป็นสารให้สีหลัก พบในทุกผลิตภัณฑ์ที่ระดับ 1.53 ถึง 19.46 ส่วนในล้านส่วน นิกเกิล ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่รู้จักกันดี ถูกตรวจพบในระดับสูงกว่า 1 ส่วนในล้านส่วนที่แนะนำในหลายตัวอย่าง ซึ่งเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ใช้ประจำวัน ตะกั่ว ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องความเป็นพิษต่อระบบร่างกาย พบในความเข้มข้นสูงถึง 10.79 ส่วนในล้านส่วน โดยครีมบำรุงรอบดวงตาไฮเอนด์ชนิดหนึ่งมีปริมาณสูงถึง 269.56 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งเกินขีดจำกัดความปลอดภัยอย่างมาก
● ปริมาณสังกะสีและข้อพิจารณาด้านความปลอดภัย
สังกะสี ซึ่งเป็นธาตุสำคัญต่อสุขภาพผิว พบในปริมาณที่แตกต่างกัน โดยบางผลิตภัณฑ์มีปริมาณเกิน 200 ส่วนในล้านส่วน แม้ว่าสังกะสีจะปลอดภัยโดยทั่วไป แต่ปริมาณที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ทิ้งไว้บนผิวหน้า เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์และอายครีม
● ความจำเป็นในการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น การวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่าทั้งผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์และโลว์เอนด์อาจมีปริมาณโลหะหนักในระดับที่เป็นอันตรายได้ แม้ว่าจะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่กฎระเบียบในปัจจุบันอาจไม่สามารถปกป้องผู้บริโภคจากผลสะสมของสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้อย่างเพียงพอ หน่วยงานกำกับดูแลควรกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับปริมาณโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าที่บอบบาง
● การสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์และความเสี่ยง ผู้บริโภคควรตระหนักว่าราคาไม่ได้เท่ากับความปลอดภัยหรือคุณภาพเสมอไป แม้ว่าผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์บางชนิดจะแสดงคุณสมบัติที่น่าพอใจ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่า แต่ก็มีปริมาณโลหะหนักบางชนิดในระดับที่น่ากังวล ดังนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวควรพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับส่วนผสมและความเสี่ยงด้านพิษวิทยาที่อาจเกิดขึ้น
โดยสรุป บทความนี้ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ทั้งในแง่ของประโยชน์และความเสี่ยง เราได้เห็นว่าแม้ผลิตภัณฑ์จะมีคุณสมบัติที่ดีอย่างฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็อาจมีการปนเปื้อนของโลหะหนักที่เป็นอันตรายได้ ผู้บริโภคควรใช้วิจารณญาณในการเลือกผลิตภัณฑ์ โดยไม่ยึดติดกับราคาหรือแบรนด์เพียงอย่างเดียว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคในระยะยาว
● Attard, T., Azzopardi, L. M., & Attard, E. (2022). Daily facial skincare formulations: Benefits and risks. *Acta Poloniae Pharmaceutica – Drug Research*, 79(1), 49-61. doi:10.32383/appdr/147222
● Regulation (EC) No 1223/2009 of The European Parliament and of The Council of 30 November 2009 on cosmetic products.
● Oyedeji, F., Hassan, G., & Adeleke, B. (2011). Trends in Applied Sciences Research, 6, 622.
● Safavi, S., Najarian, R., & Rasouli-Azad, M. (2019). International Journal of Pharmaceutical Research, 11, 182.