● เพิ่มความชุ่มชื้น: การมาร์กหน้ามีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยเฉพาะมาร์กเจลและมาร์กแผ่นที่มักมีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรีน (Glycerin)
● ฟื้นฟูผิวที่เหนื่อยล้า: การมาร์กหน้าแบบโคลนช่วยทำความสะอาดรูขุมขนและขจัดสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าดูสดใสและเนียนนุ่มขึ้น
● ลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูความกระจ่างใส: การมาร์กหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและเรตินอล (Retinol) ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสมากขึ้น
● ปรับสมดุลความมันของผิว: การมาร์กหน้าสำหรับผิวมันมักมีสารดูดซับความมันส่วนเกิน เช่น คาร์บอน (Charcoal) และดินขาว (Kaolin) ซึ่งช่วยลดความมันและป้องกันการเกิดสิวได้
● ผ่อนคลายความเครียด: การมาร์กหน้ามักช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะเมื่อใช้มาร์กที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย เช่น ลาเวนเดอร์ และชาเขียว ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเครียด
● มาร์กแผ่น (Sheet Mask): ทำจากผ้าฝ้ายหรือวัสดุเส้นใยที่อิ่มตัวด้วยเซรั่มหรือสารบำรุงต่าง ๆ ใช้ง่ายและสะดวก เหมาะสำหรับการบำรุงผิวในเวลาจำกัด
ข้อดี: เพิ่มความชุ่มชื้นได้ทันที เหมาะกับทุกสภาพผิว
● มาร์กโคลน (Clay Mask): ใช้ในการดูดซับน้ำมันและทำความสะอาดล้ำลึก เหมาะสำหรับผิวมันและผิวที่มีปัญหาสิว
ข้อดี: ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน และขจัดสิ่งสกปรก
● มาร์กครีม (Cream Mask): เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง มีเนื้อครีมเข้มข้น
ข้อดี: เติมเต็มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่มและอิ่มน้ำ
● มาร์กเจล (Gel Mask): เนื้อเจลใสซึมลงผิวได้ง่าย ช่วยปลอบประโลมและลดการระคายเคือง เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
ข้อดี: ให้ความรู้สึกสดชื่นและไม่เหนอะหนะ
● มาร์กที่ล้างออก (Wash-off Mask): มักใช้โคลนหรือดินซึ่งมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดและดีท็อกซ์ผิวหน้า
ข้อดี: ทำความสะอาดรูขุมขนและควบคุมความมัน
● ทำความสะอาดผิว: การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกก่อนการมาร์กหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและคราบมันบนผิว
● ทามาร์กอย่างสม่ำเสมอ: ทามาร์กให้ทั่วใบหน้าเว้นรอบดวงตาและปาก
● ทิ้งไว้ตามเวลาที่แนะนำ: อย่าทิ้งมาร์กไว้นานเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะมาร์กที่มีส่วนผสมของสารที่ดูดซับน้ำมัน
● ล้างออกและบำรุงผิว: หลังจากล้างมาร์กออก ให้ทามอยส์เจอไรเซอร์หรือเซรั่มเพื่อบำรุงและล็อคความชุ่มชื้น
● ผิวแห้ง: เลือกมาร์กที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น ไฮยาลูรอนิค แอซิด หรือเชียร์บัตเตอร์
● ผิวมัน: มาร์กโคลนหรือมาร์กที่มีส่วนผสมของดินจะช่วยดูดซับน้ำมันได้ดี
● ผิวแพ้ง่าย: เลือกมาร์กที่มีส่วนผสมที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น อโลเวรา หรือสารสกัดจากชาเขียว
หากคุณต้องการมาร์กหน้าที่ทำเองได้ง่าย ๆ จากส่วนผสมที่มีอยู่ในครัว สามารถใช้วิธีนี้ในการบำรุงผิวอย่างธรรมชาติ
● มาร์กโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง: โยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ในขณะที่น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นและต้านแบคทีเรีย
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ทาบนใบหน้าและทิ้งไว้ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น
● มาร์กข้าวโอ๊ตและกล้วย: ข้าวโอ๊ตมีสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ส่วนกล้วยมีโพแทสเซียมช่วยบำรุงผิวแห้ง
วิธีทำ: บดกล้วยครึ่งลูกและผสมกับข้าวโอ๊ตบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ทาลงบนใบหน้าและทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
● มาร์กแตงกวาและอโลเวรา: แตงกวาและอโลเวรามีคุณสมบัติในการช่วยปลอบประโลมผิวและให้ความสดชื่น เหมาะสำหรับผิวที่มีการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย
วิธีทำ: ปั่นแตงกวา 1 ลูกและผสมกับเจลอโลเวรา 1 ช้อนโต๊ะ ทาลงบนใบหน้าและทิ้งไว้ 10-15 นาที
● การมาร์กหน้าช่วงกลางคืน: การมาร์กหน้าในช่วงกลางคืนเป็นเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจากในช่วงนี้ผิวจะฟื้นฟูตัวเอง การใช้มาร์กที่มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงลึก เช่น คอลลาเจนหรือเปปไทด์ จะช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ดีขึ้น
● การมาร์กหน้าและการนวดหน้า: หากคุณใช้มาร์กครีมหรือมาร์กเจล สามารถเพิ่มการนวดเบา ๆ บนใบหน้าในระหว่างการมาร์กเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูสดใสและเปล่งปลั่งมากขึ้น
● การเก็บรักษามาร์ก: หากคุณต้องการความรู้สึกสดชื่นมากขึ้น ลองเก็บมาร์กแผ่นในตู้เย็นก่อนใช้งาน ความเย็นจะช่วยกระชับรูขุมขนและให้ความรู้สึกผ่อนคลายทันทีที่ใช้
● การมาร์กหน้าอย่างสม่ำเสมอ: การมาร์กหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ 2-3 ครั้งจะช่วยให้ผิวหน้าดูสุขภาพดีและอ่อนนุ่มตลอดเวลา ควรเลือกมาร์กที่เหมาะกับสภาพผิวในช่วงเวลานั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
● Zaid, A. N., et al. (2019). Mud therapy: A review of the efficacy of Dead Sea Mud on skin inflammation. Journal of Dermatology Research, 32(2), 125-135.
● Mukherjee, P. K., et al. (2017). Evaluation of the efficacy of Kaolin as an active ingredient in cosmetics for acne treatment. Journal of Clinical Dermatology, 45(3), 92-98.